15 ต.ค. 68 - องค์กรพระธรรมทูตไทยในต่างประเทศ ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อรองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ตรวจสอบ 3 สส. พรรคประชาชน อภิปรายใช้วาทกรรม-พาดพิงพระพุทธศาสนา ทำเสื่อมเสีย 

image

          นายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง รับหนังสือจากพระราชวิเทศปัญญาคุณ วัดพุทธปทีป กรุงลอนดอน ประธานองค์กรพระธรรมทูตไทยใน สหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ ผู้ประสานงานองค์กรพระธรรมทูตไทยในต่างประเทศ 7 องค์กร ใน 4 ทวีป ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณี สส. อภิปรายเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยปรากฎ สส. พรรคประชาชน จำนวน 3 คน อภิปรายงบประมาณในส่วนของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และนำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จต่อสภาฯ อีดทั้งยังมีการใช้วาทกรรมที่ไม่เป็นการเคารพต่อพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสถาบันหลักของประเทศไทยในหลายประเด็น ที่สำคัญคือการเสนอให้แยกพระพุทธศาสนาออกจากรัฐไทย ซึ่งไม่ใช่กรอบของการอภิปรายงบประมาณ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เข้าข่ายทำลายศีลธรรมอันดีงามของประชาชนชาวไทย องค์กรพระธรรมทูตไทยในต่างประเทศ ทั้ง 7 องค์กร ใน 4 ทวีป ได้แก่ สมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา สหภาพพระธรรมทูตไทยในทวีปยุโรป องค์กรพระธรรมทูตไทยในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ สหภาพพระธรรมทูตไทยในโอเชียเนีย (ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์) สมัชชาสงฆ์ไทยในสิงคโปร์ องค์การพระธรรมทูตโลก (WBDO) และคณะพระธรรมทูตไทยในอินเดียและเนปาล ซึ่งเป็นองค์กรพระพุทธศาสนาที่ได้รับการรับรองจากมหาเถรสมาคมของประเทศไทยมีสมาชิกเป็นพระธรรมทูตไทย ซึ่งผ่านการอบรมจากมหาเถรสมาคมมีพันธกิจเกี่ยวข้องกับคณะสงฆ์ไทยมาโดยตลอด เมื่อทราบถึงการอภิปรายดังกล่าว จึงเกิดความวิตกกังวล ที่มีการใช้รัฐสภาเป็นสถานที่จาบจ้วงโจมตีพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ไทยอย่างไม่ถูกต้องชอบธรรม การกระทำดังกล่าวย่อมนำมาซึ่งความแตกแยกในประเทศ ทำให้ศาสนาเสื่อมผิดไปจากวัตถุประสงค์ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงได้มีหนังสือร้องเรียนขอให้รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ทำการสอบสวนข้อเท็จจริงจาก สส. ผู้อภิปราย
          ด้านนายไชยา กล่าวว่า ขณะที่ตนเป็นประธานในที่ประชุม ได้รับฟังการอภิปรายดังกล่าว และได้พยายามตักเตือน โดยข้อบังคับการประชุมสภาฯ ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าคำอธิบายใดที่เกี่ยวข้องและพาดพิงไปถึงสถาบันอันสำคัญของชาตินั้น เป็นสิ่งที่จะต้องหลีกเลี่ยงไม่อภิปราย เรื่องศาสนาก็เช่นกัน รัฐธรรมนูญให้ความคุ้มครองในสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา แม้ว่าจะไม่ได้ระบุว่าศาสนาใดเป็นศาสนาประจำชาติ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่คนส่วนใหญ่ของประเทศนับถือเกือบร้อยละ 95 เพราะฉะนั้นการอภิปรายพาดพิงวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่เป็นความเชื่อ สิ่งที่เป็นที่เคารพนับถือ เป็นสิ่งต้องห้ามอยู่แล้ว ในระหว่างการประชุมได้พยายามตักเตือนแต่ผู้อภิปรายมีสิทธิเสรีภาพในการอภิปราย ทั้งนี้ การมายื่นหนังสือเพื่อให้ตรวจสอบ ตักเตือนบุคคลดังกล่าวให้หลีกเลี่ยงและไม่ให้กระทำการอภิปรายดูหมิ่นเหยียดหยามในความเชื่อเป็นสิ่งที่ต้องห้าม เพราะโดยปกติแล้วแม้ไม่มีข้อบังคับการประชุม ในสังคมทั่วไปการพูดคุยเรื่องการเมืองและเรื่องศาสนา เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จะก่อให้เกิดความขัดแย้ง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้อภิปรายจะต้องรับรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สส. ในฐานะที่ตนได้รับมอบหมายจากประธานสภาฯ ให้มารับเรื่องร้องเรียน โดยยินดีจะพิจารณาข้อร้องเรียน และสภาฯ พร้อมทำหน้าที่ในการดูแลปกป้องทุกศาสนา

ทัดดาว ทองอิ่ม ข่าว / เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ