16 ต.ค.68 - กมธ.ท่องเที่ยว สภาผู้แทนราษฎร แนะรัฐเร่งกำหนดมาตรการการเงินเฉพาะพื้นที่ พร้อมวางมาตรการพักชำระหนี้ กำหนดมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและมาตรการด้านการเงินอื่น เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยว 7 จังหวัดชายแดนไทย - กัมพูชา เรียกร้องนายกฯ-รัฐบาล กำหนดกรอบพื้นที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ให้ชัด

image

        นายยอดชาย พึ่งพร โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การท่องเที่ยว สภาผู้แทนราษฎร แถลงผลการประชุม กมธ. ครั้งที่ 67 ในวันนี้ (16 ต.ค.68) ว่า กมธ. ได้พิจารณาแนวทางการกำหนดมาตรการพักชำระหนี้และมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) รวมทั้งมาตรการด้านการเงินอื่น ๆ เป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย - กัมพูชา พร้อมเชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านเงินการคลัง ผู้แทนจากธนาคารของรัฐ และผู้แทนจากสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 7 จังหวัดชายแดนไทย - กัมพูชา เข้าร่วมชี้แจง โดยพบว่าสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2568 เป็นต้นมา ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของจังหวัดสระแก้ว ตราด จันทบุรี บุรีรัมย์ อุบลราชธานี สุรินทร์ และศรีสะเกษ โดยมีการยกเลิกการเดินทางของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก อัตราการเข้าพักลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการขาดรายได้ สูญเสียสภาพคล่องทางการเงิน และแรงงานในภาคบริการจำนวนมากต้องว่างงาน การประเมินในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ.2568 พบว่าความเสียหายรวมในพื้นที่ทั้ง 7 จังหวัด มีมูลค่าสูงกว่า 9,062 ล้านบาท 

        นายยอดชาย โฆษก กมธ.การท่องเที่ยว สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่าภายหลังการพิจารณาแล้วเสร็จ กมธ. มีความเห็นร่วมกันว่า ภาครัฐควรกำหนดมาตรการทางการเงินแบบเฉพาะพื้นที่ เพื่อบรรเทาผลกระทบในระยะสั้นและสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะกลาง โดยให้กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารของรัฐดำเนินการอย่างบูรณาการผ่านมาตรการพักชำระหนี้ มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และมาตรการสนับสนุนทางการเงินอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ชายแดน เพื่อรักษาความต่อเนื่องของธุรกิจ ป้องกันการสูญเสียความสามารถในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ และเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอย่างยั่งยืน  ส่วนมาตรการพักชำระหนี้ ควรเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยไม่น้อยกว่า 6 เดือน และขยายได้ถึง 12 เดือนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรง โดยไม่จำกัดสิทธิตามหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทั้งนี้ ให้ธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และธนาคารกรุงไทย เป็นหน่วยดำเนินการหลัก พร้อมจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาทางการเงินระดับจังหวัด ภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงความช่วยเหลือได้อย่างทั่วถึง  สำหรับมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ควรดำเนินการในรูปแบบโครงการเฉพาะกิจเพื่อฟื้นฟูธุรกิจการท่องเที่ยวชายแดน โดยกำหนดวงเงินไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาท อัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 1 - 2 ต่อปี และปลอดชำระเงินต้นในปีแรก เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการนำเงินทุนไปหมุนเวียน ซ่อมแซมกิจการ หรือรักษาการจ้างงาน โดยให้กระทรวงการคลังสนับสนุนงบประมาณชดเชยดอกเบี้ยแก่ธนาคารผู้ปล่อยสินเชื่อ เพื่อให้สามารถคงอัตราดอกเบี้ยต่ำได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ภาครัฐควรกำหนดมาตรการเสริมด้านการเงิน เช่น การลดหย่อนภาษี การลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบธุรกิจ และการจัดตั้งกองทุนหมุนเวียนเพื่อการท่องเที่ยวชุมชนชายแดน เพื่อให้ชุมชนสามารถเข้าถึงแหล่งทุนขนาดเล็กได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินกู้ในระบบ พร้อมสนับสนุนการค้ำประกันสินเชื่อผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนของผู้ประกอบการรายย่อย ทั้งนี้ ควรจัดตั้งคณะทำงานฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวชายแดนในแต่ละจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน เพื่อประสานและติดตามผลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด พร้อมให้กระทรวงการคลังกำหนดกรอบมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการในภาวะวิกฤติ และให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดทำโครงการสินเชื่อฟื้นฟูเฉพาะพื้นที่ เพื่อรองรับผลกระทบจากภัยความมั่นคงหรือเหตุสุดวิสัยอื่นในอนาคตในครั้งต่อไปด้วย 

        โฆษก กมธ.การท่องเที่ยว สภาผู้แทนราษฎร กล่าวทิ้งท้ายว่า กมธ. ขอเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ให้ดูแลผู้ประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย - กัมพูชา และกำหนดกรอบพื้นที่ให้ชัดเจน เนื่องจากผลกระทบที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบเพียงไม่กี่อำเภอและตำบลเท่านั้น ตามที่มีการนำเสนอข่าวว่าสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทั้งจังหวัด ทำให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ทั้งหมดได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก 

 

คณรัตน์ ยินดีมิตร / ข่าว / เรียบเรียง 

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ