4 พ.ย.68- โฆษก กมธ.ร่างกฎหมายรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมฯ เผยพิจารณาครบทุกมาตราแล้ว เตรียมเสนอเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาฯ สมัยหน้า พร้อมยกระดับการจัดการสิ่งแวดล้อมของประเทศ และยืนยันสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลมลพิษ

image

        ร.ต.อ.วัฒนรักษ์  อำนรรฆสรเดช โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... หรือ ร่างกฎหมาย PRTR (Pollutant Release and Transfer Register: PRTR) กล่าวว่า ขณะนี้ กมธ.วิสามัญ ได้พิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวครบทั้ง 8 หมวด 40 มาตรา เพื่อเตรียมเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร นำเข้าสู่วาระ 2 และ 3 ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ถือเป็นกฎหมายเปิดเผยข้อมูลมลพิษฉบับแรกของไทย โดยมีเป้าหมาย “ยกระดับการจัดการสิ่งแวดล้อมของประเทศ” และยืนยันสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลมลพิษอย่างไม่เคยมีมาก่อน เนื่องบจากเป็นการบังคับให้แหล่งกำเนิดมลพิษทุกรายต้องเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณชนรับทราบ ซึ่งเป็นการคืนสิทธิการรู้ข้อมูลข่าวสารให้กับประชาชนเต็มรูปแบบ ตามหลักการ “สิทธิชุมชนในการรับรู้” ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

        โฆษก กมธ. กล่าวด้วยว่า ร่างกฎหมายนี้สอดคล้องกับหลักการสากลทั้งอนุสัญญาสตอกโฮล์มและปฏิญญาริโอที่ไทยร่วมลงนาม และไม่มีบทใดจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลแม้แต่น้อย ประเทศไทยเผชิญวิกฤตมลพิษรุนแรงและซับซ้อนมายาวนาน ฝุ่นพิษ PM 2.5 น้ำเน่าเสีย สารพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม ขยะสารเคมีอันตราย มานานกว่า 4 ทศวรรษ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกภูมิภาค สถานการณ์นี้เป็นแรงผลักดันสำคัญให้ภาคประชาชนร่วมลงชื่อกว่า 11,685 คน ร่วมกันผลักดันร่างกฎหมาย PRTR ฉบับประชาชน และยื่นต่อรัฐสภาเมื่อต้นปี 2567 ควบคู่กับร่างของภาครัฐสภาที่มีเจตนารมณ์เดียวกัน

        ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวยด้วยว่า ร่างกฎหมาย PRTR กำหนดให้มีกลไกกำกับดูแลในระดับนโยบาย โดยให้มี “คณะกรรมการข้อมูลการรายงานและการปล่อยสารมลพิษ” 15 คน มีรัฐมนตรีทรัพยากรธรรมชาติฯ เป็นประธาน ทำหน้าที่ออกเกณฑ์และมาตรการความร่วมมือระหว่างหน่วยราชการเพื่อให้ระบบฐานข้อมูลมลพิษนี้ทำงานเต็มประสิทธิภาพ กรมควบคุมมลพิษ จะเป็นหน่วยงานหลักดูแลฐานข้อมูลและประเมินความเสี่ยงจากมลพิษ พร้อมเผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณะผ่านเว็บไซต์หรือช่องทางที่ประชาชนเข้าถึงง่ายที่สุด นอกจากนี้ยังกำหนดให้หน่วยงานรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องประเมินมลพิษที่ไม่มีแหล่งกำเนิดแน่นอน เช่น มลพิษหมอกควัน เป็นรายปี เพื่อเติมข้อมูลช่องว่างให้ครอบคลุมทุกด้าน เป้าหมายสูงสุด คือให้ข้อมูลมลพิษครบถ้วน ถูกต้อง ทันเวลา และถูกนำไปใช้แก้ปัญหาได้จริง ทั้งในการวางแผนป้องกันภัยสิ่งแวดล้อม-สุขภาพของภาครัฐ และให้ภาคเอกชนตรวจสอบปรับปรุงกระบวนการผลิตของตัวเอง ลดความเสี่ยงและเพิ่มขีดแข่งขันได้ในระยะยาว

        โฆษก กมธ. กล่าวเพิ่มเติมว่า กมธ.วิสามัญ ใช้เวลาพิจารณาร่างกฎหมาย PRTR ประมาณ 2 เดือน โดยไม่มีการแก้ไขหลักการสำคัญที่ภาคประชาชนเสนอเข้ามา แม้ภาคอุตสาหกรรมจะมีความกังวลโดยเสนอว่าใช้แค่มาตรการประกาศกระทรวงก็เพียงพอ แต่ที่ประชุม กมธ.วิสามัญเสียงข้างมากยืนยันตรงกันว่า การออกเป็นพระราชบัญญัติซึ่งมีผลบังคับใช้ต่อทุกหน่วยงานเท่านั้น จึงจะแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ ทีมผลักดันกฎหมาย PRTR จึงหวังอย่างยิ่งว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะไม่สะดุดหรือล่าช้าอีกต่อไป และจะได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมร่วมของทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาโดยราบรื่นในลำดับถัดไป

 

ณัฐพล  สงวนทรัพย์  ข่าว/เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ