11 ธ.ค. 68 - กมธ.การแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร รับหนังสือจากเครือข่ายแรงงานฯ จี้ กรมบัญชีกลางถอนประกาศจ้างเหมาบริการ หลังพบเนื้อหาในประกาศขัดกฎหมายแรงงาน ผลักสถานะลูกจ้างให้กลายเป็นเพียงผู้รับจ้าง ทำลูกจ้าง 7 แสนคนไร้สิทธิลา-สวัสดิการ

image

             นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร รับหนังสือร้องเรียนจาก นายบัณฑิต แป้นวิเศษ ประธานเครือข่ายขับเคลื่อนกฎหมายคุ้มครองแรงงานลาคลอดและการจ้างงานลูกจ้างภาครัฐ เพื่อขอให้เร่งประสานกรมบัญชีกลางยกเลิกประกาศคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ กรมบัญชีกลาง ที่ส่งผลกระทบต่อลูกจ้างเหมาบริการภาครัฐทั่วประเทศ

​              โดย นายบัณฑิต กล่าวว่า สภาผู้แทนราษฎรเพิ่งผ่านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 9 เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ซึ่งมีสาระสำคัญเพื่อคุ้มครองลูกจ้างเหมาบริการภาครัฐกว่า 700,000 คน ให้ได้รับสิทธิเท่าเทียมและเข้าสู่ระบบประกันสังคม อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา กรมบัญชีกลางกลับออกหนังสือเวียน เรื่องการซักซ้อมความเข้าใจงานจ้างเหมาบริการ ซึ่งเนื้อหาในประกาศดังกล่าวขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของกฎหมายคุ้มครองแรงงานอย่างสิ้นเชิง โดยมีประเด็นข้อกังวลหลัก 7 ข้อ ที่เปรียบเสมือนการตัดตอนความรับผิดชอบของภาครัฐ ประกอบด้วย การแปลงสภาพจากคนทำงาน เป็นผู้รับเหมา โดยประกาศนี้ผลักสถานะลูกจ้างให้กลายเป็นเพียงผู้รับจ้างทำของตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ที่เน้นผลสำเร็จของงานมากกว่าสิทธิของคนทำงาน ทำให้ลูกจ้างไร้อำนาจต่อรอง การตัดสวัสดิการและความปลอดภัย เมื่อมีสถานะเป็นผู้รับจ้าง หากเจ็บป่วย ประสบอุบัติเหตุ หรือเสียชีวิต ลูกจ้างต้องรับผิดชอบชีวิตตนเอง หน่วยงานรัฐปฏิเสธความรับผิดชอบ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนห้ามป่วย-ห้ามลา โดยสัญญาจ้างรูปแบบใหม่ห้ามระบุสิทธิการลาป่วย ลากิจ หากหยุดงานเท่ากับส่งมอบงานไม่ครบ และจะถูกหักเงินทันที เสมือนมองมนุษย์เป็นเครื่องจักร และหลบเลี่ยงกฎหมายด้วยเทคนิคทางเอกสาร โดยในทางนิตินัยระบุว่าไม่ต้องลงเวลาทำงาน และผู้ว่าจ้างไม่มีอำนาจบังคับบัญชา เพื่อเลี่ยงความเป็นนายจ้าง-ลูกจ้าง แต่ในทางปฏิบัติลูกจ้างยังต้องทำงานตามเวลาราชการและรับคำสั่งจากหัวหน้างานเช่นเดิม นอกจากนี้ การระบุสัญญาว่าเป็นจ้างทำของ ทำให้ลูกจ้างไม่สามารถฟ้องร้องต่อ ศาลแรงงานได้หากถูกเอาเปรียบ ต้องไปฟ้องศาลแพ่งหรือศาลปกครองซึ่งมีความซับซ้อนและเป็นภาระแก่ลูกจ้างและรัฐยังใช้เทคนิคตีความว่าตนเองไม่ใช่ผู้ประกอบกิจการ เพื่อหลบเลี่ยงบทบัญญัติที่กำหนดให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงต้องได้รับสิทธิประโยชน์ที่เป็นธรรม ทางเครือข่ายจึงขอให้ กมธ.ประสานกรมบัญชีกลาง ยกเลิกประกาศฉบับดังกล่าวทันที และปรับปรุงระเบียบให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ฉบับที่ 9 พร้อมเชิญตัวแทนกรมบัญชีกลางมาชี้แจง ถึงเหตุผลในการออกประกาศที่ลิดรอนสิทธิแรงงานและขัดต่อกฎหมายหลักของประเทศ

            ด้าน ประธาน กมธ. กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า ต้องยอมรับว่ากฎหมายแรงงานของไทยมีความล้าสมัย ซึ่งทาง กมธ. ได้ให้ความสำคัญและผลักดันการแก้ไขมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการประกาศใช้กฎหมายใหม่ อาจส่งผลให้หน่วยงานภาครัฐอื่นยังปรับตัวไม่ทัน หรือมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในระเบียบปฏิบัติจนเกิดปัญหาขึ้น ทั้งนี้ กมธ. จะรับเรื่องไว้พิจารณา โดยจะเชิญกรมบัญชีกลางและตัวแทนเครือข่ายฯ เข้ามาร่วมหารือเพื่อให้ได้ข้อสรุปและการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนที่สุด

 

อรุณี ตันศักดิ์ดา ข่าว/เรียบเรียง

 

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ