7 ส.ค. 68 - กมธ.วิสามัญร่าง พ.ร.บ. สร้างเสริมสังคมสันติสุข รับการยื่นข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ขอพิจารณาและแปรญัตติโดยยึดหลักการเดิมของร่างกฎหมาย ใช้แนวทางการนิรโทษกรรมคดีการเมืองตามผลการศึกษาคณะกรรมการปรองดอง สปช. และไม่รวมความผิด มาตรา 112

image

        นายณัฐวุฒิ  ใสยเกื้อ ประธานกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สร้างเสริมสังคมสันติสุข รับการยื่นหนังสือจาก นายสมศักดิ์ ธีรดำรงฤทธิ์ ตัวแทนคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 และคณะ ที่เสนอประเด็นสำคัญประกอบการพิจารณาร่างกฎหมายในชั้นกรรมาธิการรวม 4 ประเด็น  โดยเสนอให้นำแนวทางการนิรโทษกรรมคดีการเมืองที่คณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้ศึกษาไว้แล้ว และที่ประชุม สปช. รวมทั้งสภาผู้แทนราษฎร (สมัยนายชวน หลีกภัย) มีมติเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ มาใช้ในการพิจารณา เพื่อประหยัดเวลาและทำให้กระบวนการรวดเร็วยิ่งขึ้น ขอให้คณะ กมธ.ยึดหลักการเดิมของกฎหมาย การพิจารณาแปรญัตติในชั้น กมธ.ต้องยึดตามหลักการที่สภาผู้แทนราษฎร ได้ลงมติรับหลักการไปแล้วในวาระที่หนึ่ง หากมีการแก้ไขเพิ่มเติมที่นอกเหนือหลักการ อาจทำให้กระบวนการออกกฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญและอาจซ้ำรอยกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยในอดีต รวมทั้งย้ำถึงประเด็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวาระแรก ดังนั้น จึงไม่สามารถพิจารณาแปรญัตติเพิ่มเติมในชั้น กมธ. ได้ เนื่องจากขัดกับหลักการของร่างกฎหมายที่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมาตรา 112 เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ควรใช้ช่องทางอื่น เช่น การถวายฎีกา หรือขอพระราชทานอภัยโทษเป็นรายกรณี และเสนอว่าในสถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศไทยเผชิญกับภาวะสงครามกับกัมพูชา และสงครามการค้าที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คนในชาติจะต้องมีความเป็นปึกแผ่นและสามัคคีกัน การเร่งพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรมให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วจะช่วยสร้างความปรองดองในชาติ และทำให้ทุกคนสามารถร่วมมือกันพัฒนาประเทศได้ คณะกรรมการญาติวีรชนฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองจะช่วยสร้างบรรยากาศแห่งความรัก ความสามัคคี และความปรองดองในสังคม เพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง

        ด้าน รศ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ รองประธาน กมธ. ได้กล่าวถึงการรับข้อเสนอจากกลุ่มญาติวีรชนฯ ว่า ขณะนี้ กมธ. อยู่ระหว่างการหารือถึงแนวทางที่ดีที่สุด โดยมีเจตนารมณ์หลักที่สอดคล้องกัน คือต้องการสร้างความปรองดองในสังคม ซึ่งประเด็นที่เกิดขึ้นจากการชุมนุมทางการเมืองนั้น ผู้กระทำผิดส่วนใหญ่ไม่มีเจตนาทำลายบ้านเมือง แต่เป็นการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นทางการเมืองเพื่อต้องการให้บ้านเมืองก้าวไปข้างหน้า ดังนั้น คนเหล่านี้จึงสมควรได้รับการนิรโทษกรรมเพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งหลังปี 2549 มีความซับซ้อนมากขึ้น การพิจารณากฎหมายฉบับนี้จึงต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ และ กมธ. จะนำข้อเสนอทั้งหมดไปหารือเพื่อหาข้อสรุปที่ดีที่สุดก่อนการประกาศใช้กฎหมายต่อไป

 

ณรารัฏฐ์  โพธินาม /ข่าว เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ