นางสาวสิริลภัส กองตระการ ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการปรับปรุงระบบบริการสุขภาพจิตของประชาชนทุกช่วงวัย ในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฏร แถลงข่าวว่า จากเหตุการณ์พลทหารใช้อาวุธปืนยิงประชาชน จ.สุรินทร์ และมาตรการรองรับด่านสุขภาพจิต สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาสุขภาพจิตของทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารที่อยู่ในพื้นที่ที่มีเหตุการณ์ความตึงเครียดที่เข้มข้นตามแนวชายแดน ตนขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บและครอบครัว ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นว่ากระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพ ยังไม่สามารถดูแลสุขภาพจิตและความเครียดของบุคลากรความมั่นคงของกองทัพได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรณีทหารทำร้ายพลเรือน อันเนื่องจากปัญหาสุขภาพจิตไม่ใช่ครั้งแรก สังคมไทยเคยเจอเหตุการณ์นี้มาแล้วจากเหตุกราดยิงโคราช เดือน ก.ย. ปี 2563 และเหตุยิงที่กรมยุทธศึกษาทหารบก กทม. จึงต้องจับตาไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาและความเสี่ยงของสังคมต้องแบกรับ เนื่องจากกองทัพที่ไม่ดูแลผู้ปฏิบัติงานความรุนแรงและแรงกดดันต่างๆ ทั้งจากสภาพแวดล้อมที่ต้องเตรียมพร้อมในการปะทะอยู่ตลอดเวลา รวมถึงปัจจัยภายใน จนส่งผลให้ทหารผู้ปฏิบัติการเกิดความเครียดสูง อาจมีภาวะเครียดอย่างรุนแรง และอาการแพนิคในพื้นที่ที่มีการปะทะ แม้จะมีหน่วยแพทย์และสหวิชาชีพประจำการอยู่ แต่ในบางกรณีทหารผู้ปฏิบัติงานบางรายเลือกที่จะเก็บความเครียดนั้นไว้เอง และไม่ขอคำปรึกษาจากสหวิชาชีพที่ลงพื้นที่เพื่อดูแลจิตใจ อีกหนึ่งปัจจัยที่ทราบดีว่า จำนวนบุคลากรทางการแพทย์และสหวิชาชีพ นั้นไม่เพียงพอและการประเมินสภาพจิตใจนั้นไม่สามารถประเมินจากภายนอกได้ 100% แต่จะต้องอาศัยการพูดคุย ทั้งจากผู้บังคับบัญชา และเพื่อนที่ร่วมปฏิบัติหน้าที่ด้วยกันถึงแม้ว่าจะมีทีม MCATT และ RTARF M-MCATT ลงพื้นที่ดูแลทั้งทหารและประชาชนที่อยู่ในกลุ่มพื้นที่เสี่ยง แต่เมื่อเทียบอัตราจำนวนทีมงานกับอัตราทหารและประชาชนนั้น ยังคงไม่เพียงพอที่จะดูแลได้อย่างทั่วถึง
ตนจึงมีข้อเสนอแนะให้กองทัพปฏิบัติงานเพื่อดูแลสภาพจิตใจของทหารอย่างเคร่งครัด โดยมีการประเมินตั้งแต่การเกิดเหตุจนถึงช่วง 2 สัปดาห์ ระยะ 3 เดือน และหลังจาก 3 เดือนขึ้นไป ทั้งนี้ทาง กมธ.การสาธารณสุข ได้มีการพิจารณาถึงผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขจากสถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดน ซึ่งตนได้สอบถามในมิติของการดูแลสุขภาพจิตใจของทหาร ได้รับข้อมูลว่าทหารมีระบบบัดดี้มีคนคอยดูแลประจำกลุ่ม มีระบบคัดกรองตั้งแต่ก่อนส่งกำลังพลเข้าพื้นที่ และมีการติดตามผลหลังจากส่งกองกำลังไปแล้ว อย่างไรก็ตามตนยังเชื่อว่ายังคงมีความหละหลวมอยู่ อาจยังดูแลได้ไม่ครบถ้วน และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ วิสัยทัศน์ของผู้บังคับบัญชาที่จะต้องเปิดกว้างไม่ตีตราผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้มีความกล้าพอที่จะขอความช่วยเหลือ จึงขอเรียกร้องให้กองทัพสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพด้วยการคัดกรองกลุ่มเสี่ยงจัดการบริการกำลังคนที่ต้องการดูแลสุขภาพจิตใจ ภายใต้สถานการณ์ที่ตึงเครียดและมาตรการการดูแลสภาพจิตใจของทหารไม่ควรมีแต่เพียงพื้นที่ชายแดนที่มีการปะทะกันระหว่างกัมพูชาเท่านั้น ควรจะต้องดูแลทั้งองคาพยพ เพราะทหารสามารถเข้าถึงอาวุธได้ง่าย จึงไม่สามารถทราบได้ว่าเมื่อทหารเหล่านี้มีความเครียดและไม่สามารถจัดการภาวะหรืออารมณ์ที่ตัวเองมีอยู่ได้จะส่งผลอย่างไร สิ่งที่สามารถคาดการณ์ได้ คือ จะส่งผลอันตรายต่อตัวทหารเองและกับประชาชนและในสำหรับประเด็นนี้ ทาง อนุ กมธ.พิจารณาศึกษาหาแนวทางปรับปรุงระบบบริการสุขภาพจิตของประชาชนทุกช่วงวัย ที่ตนเป็นประธานอนุ กมธ.จะมีการบรรจุวาระเรื่องของสุขภาพจิตของบุคลากรทางด้านความมั่นคงไว้พิจารณาและจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล เพื่อยกระดับการดูแลสุขภาพจิตให้กับทหารและตำรวจ นอกจากนี้ยังได้ประสานขอเอกสารสถานการณ์สุขภาพจิตและการดูแลสุขภาพจิตของกระทรวงกลาโหมและอีก 3 เหล่าทัพ รวมทั้งขอรายชื่อผู้รับผิดชอบการให้บริการสุขภาพจิตสำหรับกำลังพลด้านความมั่นคงจากทุกหน่วยงาน แต่ยังไม่ได้รับเอกสารตอบกลับแต่อย่างใด จึงขอให้กระทรวงกลาโหมให้ความสำคัญกับปัญหาสุขภาพจิตของกำลังพล พร้อมให้ความร่วมมือส่งผู้รับผิดชอบมาร่วมประชุมเพื่อปรึกษาหารือหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาทางออกต่อไป ทั้งนี้ตนขอให้กำลังใจทุกฝ่ายที่ดูแลทั้งทหารและประชาชน และขอให้กองทัพรับผิดชอบโดยการเยียวยาที่เหมาะสม ซึ่งรัฐบาลควรมีเจตจำนงที่แท้จริงในการผลักดันเรื่องการบริการสุขภาพจิตให้เพียงพอต่อการปฏิบัติงานทั้งระบบครอบคลุมประชากรทุกช่วงวัย รวมไปถึงผู้ปฏิบัติงานด้านความมั่นคง
สำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ มีบริการสายด่วนสุขภาพจิต 1323 หรือเว็บไซต์สุขภาพจิต พร้อมย้ำว่าการรักษาบาดแผลทางจิตใจนั้นสำคัญไม่น้อยไปกว่าการรักษาบาดแผลทางร่างกาย ต้องอาศัยการดูแลการให้ความช่วยเหลือการประเมินอย่างใกล้ชิด
อรุณี ตันศักดิ์ดา ข่าว/เรียบเรียง
