15 ต.ค. 68 - อดีต รมว. คลัง ยื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ห่วงแนวทางรัฐบาลใช้เงิน FIDF แหล่งทุนจากประชาชนช่วยแก้ภาระหนี้ผู้ให้บริการทางการเงิน แนะต้องผ่านการพิจารณาของรัฐสภา ไม่ขัดกฎหมาย สร้างความโปร่งใสในการใช้เงินกองทุน

image

           นายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ โฆษกประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับมอบหมายจาก นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้เป็นผู้แทนรับการยื่นหนังสือจาก นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายนายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม และคณะ ขอให้ทบทวนกระบวนการแก้ปัญหาลูกหนี้ด้อยคุณภาพที่อาจจะฝ่าฝืนกฎหมาย โดยนายธีระชัย กล่าวว่า พปชร. เห็นด้วยกับแนวคิดรัฐบาลที่ต้องการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีภาระหนี้ได้เริ่มต้นใหม่ แต่มีข้อกังวลต่อแนวทางที่รัฐบาลเตรียมใช้ โดยเฉพาะการตั้ง บรรษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company : AMC) และใช้เงินจาก กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Institutions Development Fund : FIDF) เป็นแหล่งทุน ซึ่งเงินในกองทุนดังกล่าวเป็นเงินของประชาชน โดยในอดีตตนเป็นผู้ร่วมออกแบบกฎหมายกำหนดให้ใช้เพื่อชำระหนี้ของรัฐที่เกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2540 จึงควรระมัดระวังไม่ให้นำไปใช้ในลักษณะที่อาจผิดวัตถุประสงค์หรือขัดต่อกฎหมาย

           นายธีระชัย ชี้แจงว่าหลังจากวิกฤตต้มยำกุ้งในปี พ.ศ. 2540 รัฐบาลต้องเข้ามารับภาระหนี้จากการล้มของสถาบันการเงิน รวมกว่า 1.4 ล้านล้านบาท ต่อมาในปี พ.ศ. 2555 ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตนได้เสนอพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้สถาบันการเงินเป็นผู้ร่วมรับภาระชำระหนี้และดอกเบี้ยแทนรัฐบาล ซึ่งช่วยลดหนี้สาธารณะจาก 1.1 ล้านล้านบาท เหลือประมาณ 5 แสนล้านบาทในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม แผนของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ประกาศจะแก้หนี้รายย่อยไม่เกินรายละ 100,000 บาท โดยใช้เงินที่ประหยัดได้จากการลดอัตรานำส่งของสถาบันการเงินเข้ากองทุนจากร้อยละ 0.46 เหลือร้อยละ 0.23 อาจมีปัญหาในหลักการ หากรัฐบาลยกประโยชน์ส่วนนี้ให้แก่ธนาคารหรือ non-bank โดยไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา หากโครงการนี้นำเงินจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ไปใช้เพื่อซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมูลค่าราว 100,000 ล้านบาท โดยมีผู้ได้รับประโยชน์หลักเป็นผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (non-bank) มูลค่ารวมถึง 85,000 ล้านบาท จะเข้าข่ายใช้เงินของประชาชนเพื่อเอื้อเอกชนบางกลุ่ม ซึ่งอาจผิดกฎหมายได้ จึงเสนอว่ารัฐบาลควรนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาและสาธารณชนรับทราบอย่างโปร่งใส ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสาเหตุของหนี้ด้อยคุณภาพ โดยเฉพาะในธนาคารของรัฐ หากพบว่ามีการบริหารผิดพลาดหรือทุจริต ต้องดำเนินการทางวินัยและปรับปรุงระบบก่อน กำหนดให้ชัดเจนว่าใครควรเป็นผู้ได้รับประโยชน์ หากเป็นธนาคารที่เคยร่วมรับภาระหนี้กับรัฐอาจพอรับได้ แต่หากเป็น non-bank ต้องมีเหตุผลและความโปร่งใสในการใช้เงินกองทุน ทั้งนี้ย้ำว่า การช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเป็นเรื่องดี แต่ต้องทำอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โปร่งใส และไม่เป็นการกวาดฝุ่นลงใต้พรม เพื่อป้องกันไม่ให้เงินของประชาชนถูกใช้โดยไม่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อระบบเศรษฐกิจและสังคม

           นายคัมภีร์ กล่าวภายหลังรับหนังสือว่าจะนำเรื่องดังกล่าวแจ้งต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป 

 

ณัฐเดช เอียดปุ่ม /ข่าว /เรียบเรียง

ประมวลผลภาพ

วิดีโอ