รศ.ชูศักดิ์ ศิรินิล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวอภิปรายร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256/1 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกำหนดองค์กรที่จะทำหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาที่มีวาระพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่ง กรรมาธิการ (กมธ.) สัดส่วนพรรคเพื่อไทยขอสงวนความเห็นและเสนอแปรญัตติในมาตรานี้ ว่า กมธ. สัดส่วนพรรคเพื่อไทย เห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่มาจากแนวทางของ กมธ. เสียงข้างมากที่กำหนดให้มีองค์กร 2 องค์กร ประกอบด้วย คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมาธิการรับฟังความเห็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่างรัฐธรรมนูญ โดยทั้ง 2 คณะประกอบด้วยกรรมาธิการจำนวนคณะละ 35 คน ซึ่งรัฐสภาจะเป็นผู้คัดเลือกจากบัญชีรายชื่อ อาจส่งผลให้ได้รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและจะเป็นปัญหาได้
รศ.ชูศักดิ์ กล่าวด้วยว่า สาระสำคัญร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม กรรมาธิการเสียงข้างมากได้ตัดการเลือกโดยตรงโดยประชาชนออก ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากร่างเดิมที่นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และคณะ เสนอ ซึ่งมีกำหนดให้มีการรับสมัครเป็นกลุ่ม แล้วให้ประชาชนลงคะแนนเลือกโดยตรง เพื่อนำ 70 คนมาให้รัฐสภาเลือกให้เหลือ 35 คน แต่ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม กมธ.เสียงข้างมากได้ตัดการเลือกโดยตรงของประชาชนออก แล้วให้ผู้สมัครไปสมัครโดยตรงกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แล้วนำรายชื่อส่งให้รัฐสภาเลือกให้เหลือ 35 คนแทน ส่วนคณะกรรมการที่ปรึกษา จำนวน 100 คน ที่มาจากเลือกโดยตรงจากประชาชน นั้น กมธ. เสียงข้างมากก็ได้ตัดการเลือกโดยประชาชนออกเช่นกัน และกำหนดให้มีจำนวน 35 คน โดยให้มาสมัครที่ กกต. แล้วส่งรายชื่อให้รัฐสภาเลือก
รศ.ชูศักดิ์ กล่าวด้วยว่า พรรคเพื่อไทยมีข้อกังวลว่า การกำหนดองค์กรในลักษณะดังกล่าวอาจนำไปสู่ข้อบกพร่องที่ว่า “ใครกุมเสียงรัฐสภาเสียงข้างมากได้ ก็จะคัดเลือก กมธ. ได้ตามที่ตนเองต้องการ” อาจทำให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ยกร่างนั้น “บิดเบี้ยวไป” ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจึงเสนอให้มีการจัดตั้ง “สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)” ขึ้นมาโดยมีกลไกคัดเลือกที่ยึดโยงกับประชาชนและผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญที่มีความเป็นกลาง ซึ่งพรรคเพื่อไทยเชื่อว่าจะเป็นผลดีมากกว่าการมีเพียง กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญและ กมธ.รับฟังความเห็น
รศ.ชูศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า พรรคเพื่อไทยเสนอให้องค์กรที่จะทำหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญมี 3 องค์กร ได้แก่ 1. สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) 2. กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ และ 3. กรรมาธิการรับฟังความเห็นของประชาชน สำหรับองค์ประกอบของ สสร. 151 คน นั้น พรรคเพื่อไทยเสนอให้มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนเบื้องต้น 100 คน จากผู้สมัคร 300 คนทั่วประเทศ และสุดท้ายให้รัฐสภาเลือกให้เหลือ 100 คน โดยมีหลักประกันว่าอย่างน้อยต้องมี สสร. จังหวัดละ 1 คน ซึ่งพรรคเพื่อไทยมั่นใจว่าแนวทางดังกล่าวจะไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดไว้ว่าห้ามมิให้รัฐสภาเลือกผู้ร่างจากประชาชนโดยตรง ขณะที่ สสร.อีก 51 คน มาจากการแต่งตั้งจากองค์กรต่าง ๆ เช่น วุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรี องค์กรเอกชน และองค์กรส่วนท้องถิ่น แล้วให้รัฐสภาแต่งตั้ง
รศ.ชูศักดิ์ กล่าวด้วยว่า หากเกิดกรณีไม่สามารถตั้ง สสร. ได้ พรรคเพื่อไทยเสนอให้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างของคณะกรรมาธิการทั้ง 2 ชุด โดยใช้สูตรใหม่คือ 25+10 แทนการให้รัฐสภาเลือกทั้งหมด 35 คน โดยให้รัฐสภาเลือก 25 คน และ 10 คน เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากการเสนอแต่งตั้งโดยผู้ทรงคุณวุฒิในด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ หรือกฎหมายมหาชน เพื่อเป็นการถ่วงดุลให้กรรมาธิการมีความหลากหลายมากขึ้น เช่นเดียวกับกรรมาธิการรับฟังความเห็นของประชาชน ก็ควรใช้สูตร 25+10 โดย 10 คน อาจมาจากการเสนอของคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ หรือองค์กรเอกชนที่รับผิดชอบด้านสื่อสารมวลชน
รศ.ชูศักดิ์ ระบุว่า พรรคเพื่อไทยเชื่อว่า การจัดให้ทั้ง 3 องค์กร มีความยึดโยงกับประชาชน และไม่ตัดการเลือกโดยประชาชนออกจะทำให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญมีความหลากหลายขึ้น และรัฐธรรมนูญที่ออกมาจะมีความเป็นกลาง ไม่ยึดโยงกับเสียงข้างมาก หรือพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งจะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นมาจากประชาชนอย่างแท้จริง
ณัฐพล สงวนทรัพย์ ข่าว/เรียบเรียง