นางสาวพนิดา มงคลสวัสดิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดสมุทรปราการ พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) เสียงข้างน้อยในคณะ กมธ. วิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 กล่าวอภิปรายมาตรา 27 งบประมาณสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามที่ได้ขอสงวนความเห็นว่า ตนเห็นด้วยกับ อนุ กมธ. ความมั่นคงฯ ที่ได้ปรับลดงบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติลง 466 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น โครงการจัดซื้ออากาศยานไร้คนขับตรวจการณ์ระยะไกล (UAV) พร้อมอุปกรณ์และระบบควบคุม 4 ลำ มูลค่า 159.6 ล้านบาท และค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการและสิ่งก่อสร้างประกอบ พร้อมอาคารที่จอดรถยนต์และอาคารที่พักอาศัยข้าราชการตำรวจ เขต หลักสี่ กทม. 6 อาคาร ที่ตั้งงบมา 668 ล้านบาท ถูกปรับลด 307 ล้านบาท ซึ่งเมื่อถูกขอให้ทบทวนทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ยินดีปรับลดโครงการดังกล่าวออก อย่างไรก็ตาม ยังมีโครงการที่ตนเห็นว่าไม่มีความจำเป็น คือ โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์อาวุธหนัก ประกอบด้วย ปืนซุ่มยิงระยะไกลหรือสไนเปอร์ พร้อมอุปกรณ์ 10 ชุด วงเงิน 15.5 ล้านบาท โครงการจัดหาปืนกล พร้อมอุปกรณ์ 20 ชุด วงเงิน 72 ล้านบาท ปืนกลมือขนาด 9 มม. 4,000 กระบอก พร้อมอุปกรณ์ วงเงิน 104 ล้านบาท ปืนเล็กสั้น ขนาด 5.56 มม. จาก 3 โครงการ จำนวน 2,000 กระบอก วงเงิน 274 ล้านบาท รถปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยในการชุมนุม (รถจีโน่) 5 คัน วงเงิน 87 ล้านบาท ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์รถฉีดน้ำแรงดันสูงควบคุมฝูงชน (รถจีโน่) ที่ชำรุด 5 คัน วงเงิน 47 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 599.5 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดยังไม่ได้ถูกปรับลดในชั้น กมธ. เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติชี้แจงว่า เป็นโครงการที่ถูกตั้งงบประมาณเพื่อชดเชยที่ถูกพับไปในช่วง ปี 2564 กล่าวคือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับของจากผู้ขายครบถ้วนแล้ว จึงต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณและเบิกจ่ายให้กับบริษัทผู้ขายตามสัญญา ทำให้ กมธ.เสียงส่วนใหญ่เห็บชอบที่จะไม่ปรับลดงบประมาณส่วนนี้
นางสาวพนิดา กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดซื้ออาวุธของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเกิดขึ้นสมัยรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่ปี 2561-2565 ที่เคยมีสมาชิกอภิปรายว่าเป็นการจัดซื้ออาวุธหนักพร้อมกันครั้งเดียวจะทำให้เบิกจ่ายงบประมาณไม่ทันและสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดิน ปัจจุบัน บริษัทส่งมอบอุปกรณ์ครบถ้วนแล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ แทนที่ในปีนั้นจะได้จัดสรรงบประมาณไปให้ในส่วนอื่นที่มีความจำเป็นมากกว่ากลับต้องถูกแบ่งมาจัดซื้ออาวุธปืนโดยไม่จำเป็น แม้ว่าจะไม่สามารถจัดซื้อได้สำเร็จ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็สามารถทำงานได้สำเร็จตามตัวชี้วัดได้ แทนที่จะถอดความเป็นทหารออกจากตำรวจ ลดการใช้อาวุธหนักแล้วมุ่งไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถของตำรวจ แต่กลับพบว่าตอนนี้มีอาวุธอยู่เต็มคลัง ทั้งนี้ ตนยืนยันว่า ตำรวจสามารถมีอาวุธได้ แต่ต้องพิจารณาว่า ตำรวจจะนำอาวุธเหล่านี้ไปใช้กับใครด้วยจุดประสงค์ใด เราต้องไม่ปล่อยให้ตำรวจตกเป็นเครื่องมือของรัฐที่จะผลักสังคมให้ไปสู่การใช้ความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ตนจึงเสนอขอปรับลดงบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติลง ร้อยละ 3 วงเงิน 1,078 ล้านบาท เพราะประเทศไม่จำเป็นต้องมีอาวุธสงครามจำนวนมากแล้วจะทำให้บ้านเมืองสงบสุข รวมถึงไม่เห็นด้วยกับการตั้งงบประมาณที่ขาดความคำนึงถึงประสิทธิภาพในการบริหารงานขององค์กร และตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีช่องว่างในการตั้งงบประมาณหรือไม่ สิ่งที่ยังขาด คือ งบอุปกรณ์สำนักงาน งบค่าน้ำมันของตำรวจ ค่าสาธารณูปโภคที่ได้รับมาไม่ถึงครึ่งหนึ่งถึงยอดที่ต้องจ่ายจริง ตนหวังว่าการจัดทำงบประมาณปี 2568 จะเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของตำรวจไม่ให้รัดทน แร้นแค้น จนต้องไปแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน และต้องมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตำรวจอย่างแท้จริง
ณัฐพล สงวนทรัพย์ ข่าว/เรียบเรียง