คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร นำโดยนายภูริวรรธก์ ใจสำราญ กรรมาธิการ พร้อมด้วย นายวีรภัทร คันธะ โฆษกกรรมาธิการ และกรรมาธิการสัดส่วนของพรรคประชาชน ร่วมกันแถลงถึงการปล่อยปะละเลย ไม่มีกระบวนการในการศึกษาและการแก้ปัญหาวิกฤติศรัทธาพระสงฆ์ในพุทธศาสนาของ กมธ.เนื่องจากหากย้อนกลับไปในการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมของสงฆ์ต่างๆ สส.พรรคประชาชน พยายามจะสะท้อนและกระตุ้น ทำงานของ กมธ. แต่กลับไม่ได้เกิดการเร่งรีบในการตรวจสอบประเด็นปัญหาที่ร้ายแรงที่เพิ่งเกิดขึ้นในขณะนั้น กลับนำเรื่องเรียนหรือประเด็นปัญหาไปเรียงต่อคิวในการพิจารณา ทำให้หลายเรื่องเร่งด่วนรอการพิจารณาบางเรื่องเป็น 3 เดือน หรือเกือบปี ยกตัวอย่างเช่น กรณีพระสงฆ์ซื้อตั๋วเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศไปกับกลุ่มทัวร์ท่องเที่ยวทั่วไป ได้ถูกร้องเรียนมาในสมัยประชุมสภาที่ผ่านมา หรือกรณีเจ้าอาวาสละเมิดเด็กที่บวชเป็นสามเณรมาเรียนปฏิบัติธรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นปัญหาที่นำเสนอ เพื่อขอให้มีการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง ให้เกิดการนำไปสู่การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่จัดการเป็นแค่รายกรณีและปล่อยให้เรื่องเดิมๆ เกิดซ้ำ แต่ กมธ.กลับยังไม่มีการพิจารณาประเด็นเหล่านี้ โดยเฉพาะในประเด็นร้อนทางศาสนาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หากมีการร้องเรียนมาจะโยนไปที่คณะอนุกรรมาธิการการศาสนา ที่ถึงทุกปัจจุบันนี้ได้ขยายเวลาทำงานต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลา 2 ปีเต็มๆ โดยมีเหตุผลชี้แจงว่ามีภารกิจเรื่องร้องเรียนจากวัดจำนวนมาก ซึ่งเรื่องเหล่านั้นส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดจะเป็นเรื่องธรณีสงฆ์ ข้อพิพาททางที่ดิน อาจจะมีเรื่องวินัยสงฆ์อยู่ แต่เป็นทำเรื่องไปสอบถามทางสำนักงานพระพุทธศาสนา ซึ่งรอการตอบรับ
ส่วนเรื่องศิลปวัฒนธรรมได้นำไปรวมลำดับกับเรื่องที่เข้ามาทั้งหมด ประเด็นทางศิลปะ วัฒนธรรม จึงไม่ได้ถูกนำมาพิจารณาให้เท่าทันสถานการณ์ ตลอดจนไม่มีการตั้งอนุกรรมาธิการด้านนี้ขึ้นมาให้เหมือนกับทางศาสนา เพื่อแบ่งเป็นเรื่องศาสนาและเรื่องศิลปะวัฒนธรรมโดยเฉพาะ ในขณะที่ กมธ. อื่นมีการพิจารณาประเด็นเข้มข้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้มีหลายประเด็นสำคัญมาก อาทิ ข้อพิพาทโบราณสถานบริเวณชายแดนไทย -กัมพูชา ปราสาทตาเมือนธม กลับไม่ถูกหยิบยดขึ้นมา โดยเฉพาะประเด็นสีกากอล์ฟ จึงต้องการเห็นความชัดเจนของมหาเถรสมาคม และความเคลื่อนไหวของสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่จะกำกับเรื่องข้อระเบียบต่างๆ ที่จะสามารถดำเนินการได้นั้น โดยเห็นว่าควรไปทบทวนพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ในการดูโครงสร้างใหม่ในหลายๆ เรื่องให้มากขึ้น อาทิ กรณีวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคลเช่นเดียวกับส่วนราชการ ต้องมีการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และมีผู้ตรวจสอบบัญชี แต่ไม่มีบทกำกับต่อไปว่าหากไม่มีการทำบัญชีจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ดังนั้นในเรื่องนี้ สส.พรรคประชาชน ที่เป็นกรรมาธิการการศาสนาฯ จะผลักดันให้เกิดการแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ โดยด่วน
ขณะที่นายวีรภัทร กล่าวว่าหลังจากนี้ตนจะขอลาออกจากการเป็นโฆษกกรรมาธิการ และผลักดันกฎหมายคณะสงฆ์ รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับทางพระพุทธศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม ในฐานะของ สส.พรรคประชาชน เนื่องจาก กมธ.ไม่มีการขยับพิจารณาเรื่องร้อนที่เกิดขึ้นและไม่เท่าทันต่อสถานการณ์
อรุณี ตันศักดิ์ดา ข่าว/เรียบเรียง
